Diary no.3


บันทึกการเรียนรู้ครั้งที่ 3

ประจำวันที่ 24 กันยายน พ.ศ.2561

ความรู้ที่ได้รับ

EF ทักษะสมองเพื่อชีวิตที่สำเร็จ Executive Functions
คนที่ คิดเป็น ทำงานเป็น เรียนรู้เป็น แก้ปัญหาเป็น อยู่กับคนอื่นเป็น และหาความสุขเป็น  คือเป้าหมายของระบบการศึกษาและการสร้างพลเมืองของทุกสังคมใช่หรือไม่ ?
และคนแบบนี้ ย่อมประสบผมสำเร็จในการเรียน ชีวิตส่วนตัว ชีวิตครอบครัว หรือในการทำงานประกอบอาชีพด้วยหรือไม่ ?
ในชีวิตจริง พวกเราล้วนมีตัวอย่างที่เห็นได้ชัดว่า คนที่ประสบผลสำเร็จมักจะมีคุณลักษณะเหล่านี้
๐ คิดมีเหตุมีผล เป็นระบบ คิดวิเคราะห์ได้ เมื่อต้องตัดสินใจก็มีหลักคิด มีการพิจารณาไตร่ตรองดี
๐ ทำงานเป็น รู้จักการวางแผนก่อนลงมือทำ ครั้นเมื่อลงมือทำก็ทำได้เป็นขั้นตอน ไม่มั่วซั่ว สบสน
๐ เมื่อเกิดอุปสรรคก็รู้จักแก้ไข อดทน อึด ฮึดสู้ หรือหาทางออกใหม่ๆ ไม่ติดอยู่กับความคิดความเคยชินเดิมๆ
๐ จัดสัมพันธภาพได้ดี เพราะรู้จักควบคุมอารมณ์และพฤติกรรมตนเอง จนเป็นที่ยอมรับ รักใคร่ของคนอื่นๆ
โดยเฉพาะในโลกสมัยใหม่ที่เปลี่ยนแปลงรวดเร็ว รุนแรง ซับซ้อน พลิกผัน เต็มไปด้วยสิ่งเร้าเย้ายวน คนที่มีความยับยั้งชั่งใจ สามารถควบคุมกำกับตนเองได้ ก็ยากที่จะตกเป็นเหยื่อของสถานการณ์ต่างๆ คนที่ปรับตัวง่ายก็จะอยู่ได้ดีไม่ว่าสถานการณ์จะพริกผันไปแค่ไหน คนที่คิดวิเคราะห์ได้ดี มีน้ำอดน้ำทนก็จะแก้ปัญหายากๆของชีวิตได้
คุณลักษณะรวมๆ ในการบริหารจัดการชีวิตและการงานดังกล่าวข้างต้น นักวิทยาศาสตร์เรียกว่า เป็นทักษะการคิดขั้นสูงของสมองของมนุษย์เรา ที่เรียนเป็นคำศัพท์ว่า Executive Functions (EF) หรือ “ทักษะสมองเพื่อชีวิตที่สำเร็จ

ทักษะ Executive Functions (EF) อยู่ในสมองของเราทุกคน
จากแผนภาพข้างล่างนี้ จะเห็นว่า ความคิด ความรู้สึกและการกระทำต่างๆ จะเกิดขึ้นที่สองส่วนต่างๆของเรา โดยสมองส่วนหน้าที่อยู่ภายได้กะโหลกหน้าผากของเรา เปรียบเสมือผู้บริหารสูงสุด (CEO) ขององค์กรที่ควบคุมการคิด การตัดสินใจ อารมณ์ การแสดงออก และการกระทำของมนุษย์เรา
แต่ก็ไม่ใช่สมองส่วนหน้าควบคุมทั้งหมดเพียงส่วนเดียว หากแต่มันจะทำงานร่วมกับสมิง ส่วนอื่นๆ ตามทฤษฎี Integrative Theory (Miller and Cohen, 2001) โดยมีวงจรเส้นใยประสาทที่เชื่อมต่อถึงกัน

ทักษะ Executive  Functions (EF) คืออะไร
          คือ ชุดกระบวนการทางความคิด (mental process) ที่ช่วยให้เราวางแผน มุ่งใจจดจ่อ จำคำสั่ง และจัดการกับงานหลายๆอย่างให้ลุล่วงเรียบร้อยได้ สามารถจัดลำดับความสำคัญของงาน วางเป้าหมายและทำไปเป็นขั้นตอนจนสำเร็จ รวมทั้งควบคุมแรงอยาก แรงกระตุ้นทั้งหลาย ไม่ให้สนใจไปนอกลู่นอกทาง เหมือนกับระบบควบคุมการบินทางอากาศในสนามบินที่ต้องจัดการกับเที่ยวบินเข้า-บินออกจำนวนหลายสิบเที่ยวในเวลาเดียวกัน
          คือ กระบวนการทำงานของสมองระดับสูง ที่ประมวลประสบการณ์ในอดีต และประสบการณืในปัจจุบันมาประเมิน วิเคราะห์ ตัดสินใจ วางแผน เริ่มลงมือทำ ตรวจสอบตนเอง และแก้ไขปัญหา ตลอดจนควบคุมอารมณ์ บริหารเวลา จัดความสำคัญ กำกับตนเอง และมุ่งมั่นทำจนบรรลุเป้าหมายที่ตั้งใจไว้ (Goal – Directed Behaviors)
          หรือกล่าวง่ายๆ ได้ว่า เป็นทักษะความสามารถที่มนุษย์เราทุกคน ไม่ว่าเด็ก ผู้ใหญ่ ไม่ว่าชนชั้นชาติใดๆ และไม่ว่าในอดีต ปัจจุบัน หรือแม้แต่ในอนาคตอเมื่อเกิดเป็นมนุษย์แล้วก็จะต้องใช้สมองเหล่านี้ในการดำเนินชีวิตทุกๆวันให้อยู่รอดปลอดภัย และทำกิจกรรมต่างๆให้สำเร็จเรียบร้อย
ธรรมชาติให้ทักษะสมอง EF นี้แก่มนุษย์
ทำให้มนุษย์เราเป็นสิ่งมีชีวิตที่แตกต่างจากสิ่งมีชีวิตอื่น และมนุษยชาติก็ได้ใช้ทักษะ
ความสามารถของสมองเรานี้เอง ในการสร้างโลกที่แตกต่างไปจากสัตว์ทั้งปวง
องค์ประกอบของ EF
          เพื่อให้ง่ายต่อการทำความเข้าใจ นักวิชาการร่วมกับสถาบัน RLG จึงได้จัดการความรู้ และแยกแยะ EF เป็น ด้าน เพื่อให้เห็นว่า EF นั้นประกอบไปด้วยทักษะย่อยๆหลายด้าน โดยจัดเป็น กลุ่มทักษะ ได้แก่ กลุ่มทักษะพื้นฐาน กลุ่มทักษะกำกับตนเอง และกลุ่มทักษะปฏิบัติ อธิบายได้ดังนี้
กลุ่มทักษะพื้นฐาน
1. Working memory (ความจำที่นำมาใช้งาน) ความสามารถในการเก็บประมวล และดึงข้อมูลที่ได้มาจากประสบการณืเดิมในชีวิต และเก็บไว้ในคลังของสมองของเรา ออกมาใช้ตามสถานการณ์ที่ต้องการ ยิ่งมากประสบการณ์ ความจำที่นำมาใช้งานก็ยิ่งมาก
2. Inhibitory Control (ยั้งคิดไตร่ตรอง) ความสามารถในการควบคุมแรงปรารถนาของตน ให้อยู่ในระดับที่เหมาะสม จนหยุดยั้งพฤติกรรมได้ในเวลาที่สมควร เด็กที่ขาดความยับยั้งชั่งใจจะเหมือน รถที่ขาดเบรก” อาจทำได้โดยไม่คิดหรือมีปฏิกิริยาตอบโต้แบบไม่ไตร่ตรอง นำมาซึ่งปัญหาแก่ตนเองต่อไป
3. Shifting หรือ Cognitive Flexibility (ยืดหยุ่นความคิด) ความสามารถในการเปลี่ยนจุดสนใจ เปลี่ยนโฟกัสหรือทิศทาง ให้เหมาะสมกับสถานการณ์ที่เกิดขึ้น เด็กที่มีปัญหาในเรื่องการปรับตัวมักจะติดตันอยู่กับสิ่งเดิมๆ ไม่สามารถยืดหยุ่นพริกแพลงได้ มองไม่เห็นทางออกใหม่ๆ ไม่สามารถคิดค้นสิ่งใหม่ๆนอกกรอบได้
 กลุ่มทักษะกำกับตนเอง
4. Focus Attention (จดจ่อใส่ใจ) ความสามารถในการมุ่งความสนใจอยู่กับสิ่งที่ทำอย่างต่อเนื่อง ในช่วงเวลาหนึ่ง โดยไม่วอกแวกไปตามปัจจัย ไม่วาสภายนอกหรือภายในตนเองที่เข้ามารบกวน
5. Emotional Control (ควบคุมอารมณ์) ความสามารถในการควบคุมอารมณ์ให้อยู่ในระดับที่เหมาะสม จัดการกับความเครียดหงุดหงิด และแสดงออกที่ไม่รบกวนผู้อื่น เด็กที่ควบคุมอารมณ์ไม่ได้มักโกรธเกรี้ยวฉุนเฉียว ขี้หงุดหงิดเกินเหตุ หรือขี้กังวล อารมณืแปรปรวน และอาจซึมเศร้าได้
6. Self-Monitoring (ติดตามประเมินตนเอง) การตรวจสอบตนเอง รู้จักจุดอ่อนจุดแข็งของตนเอง รวมถึงการตรวจสอบการงานเพื่อหาจุดดีจุดบกพร่อง ประเมินการบรรลุเป้าหมาย ติดตามปฏิกิริยาของตนเอง และดูผลจากพฤติกรรมของตนเองที่ไปกระทบต่อผู้อื่น
กลุ่มทักษะปฏิบัติ
7. Initiating (ริเริ่มและลงมือทำ) ความสามารถในการริเริ่มและลงมือทำตามที่คิด มีทักษะในการริเริ่มสร้างสรรค์สิ่งต่างๆ และคิดแล้วก็ลงมือทำให้ความคิดของตนรากฎขึ้นจริง
8. Planning and Organizing (วางแผน จัดระบบ ดำเนินการ) เริ่มตั้งแต่การตั้งเป้าหมาย การเห็นภาพรวม จัดลำดับความสำคัญ จัดระบบโครงสร้าง จนถึงการดำเนินการ คือการแตกเป้าหมายให้เป็นขั้นตอน กระบวนการ และมีการประเมินผล
9. Goal- Directed Persistence (มุ่งเป้าหมาย) เมื่อตั้งใจและลงมือทำสิ่งใดแล้ว ก็มีความมุ่งมั้นอุตสาหะ เพื่อให้บรรลุเป้าหมาย ไม่ว่าจะมีอุปสรรคใดๆ ก็พร้อมฝ่าฟันจนถึงความสำเร็จ
             เราคงจะเห็นได้ชัดว่า มนุษย์ทุกคนใช้ทักษะสมอง EF ในชีวิตอยู่ตลอดเวลา เป็นทักษะที่เราใช้ในการจัดการกับการเรียนรู้ จัดการกับชีวิตและปัญหาต่างๆ และใช้ในการพัฒนาความเจริญก้าวหน้าแก่ตนเองและต่อสังคม
             EF จึงเป็นทักษะที่มีความสำคัญยิ่งยวด ถ้าพัฒนาได้ดีเต็มศักยภาพก็จะทำให้เราเป็นคนที่ คิดเป็น ทำงานเป็น เรียนรู้เป็น แก้ปัญหาเป็น อยู่กับคนอื่นเป็น และหาความสุขเป็น นำมาซึ่งความสำเร็จทั้งในการเรียน การทำงานอาชีพ และการสร้างความสัมพันธ์กับคนอื่นๆนั้งเอง
EF สำคัญอย่างไรต่อการพัฒนาเด็ก
             เมื่อเด็กได้รับโอกาสพัฒนา EFs ทั้งตัวเด็กเองและสังคมได้รับประโยชน์ จะช่วยสร้างพฤติกรรมเชิงบวกและเลือกตัดสินใจในทางที่สร้างสรรค์ต่อตัวเอง และต่อคนอื่นๆ หากเด็กมีทักษะ EF เขาจะมีความสามารถในการคิดที่ดี เช่น
 มีความจำดี มีสมาธิจดจ่อสามารถทำงานต่อเนื่องได้จนเสร็จ                                                    
 รู้จักการวิเคราะห์ มีการวางแผนงานอย่างเป็นระบบ ลงมือทำงานได้ และจัดการกับกระบวนการทำงาน จนเสร็จทันตามกำหนด                                                                                                 
• นำสิ่งที่เคยเรียนรู้มาก่อนในประสบการณ์มาใช้ในการทำงานหรือกิจกรรมใหม่ได้                             
 ปรับเปลี่ยนความคิดได้เมื่อสถานการณ์เปลี่ยน ไม่ยึดติดตายตัว และอาจพัฒนาถึงขั้นความคิด
สร้างสรรค์    คิดนอกกรอบได้                                                                                         
 รู้จักประเมินตนเอง นำจุดบกพร่องมาปรับปรุงการทำงานให้ดีขึ้นได้ รู้จักแก้ปัญหา                          
 รู้จักยับยั้งควบคุมตนเองไม่ให้ทำในสิ่งที่ไม่ถูกต้อง ไม่เหมาะสมแม้จะมีสิ่งยั่วยวน                             
 รู้จักแสดงออกกับเพื่อน หรือในสังคมอย่างเหมาะสม นำไปสู่การรู้จักเคารพผู้อื่น อยู่กับคนอื่นได้ดี ไม่มีปัญหา                                                                                               
 เป็นคนที่อดทนได้ รอคอยเป็น                                                                            
 มีความอุตสาหะพากเพียร ล้มและลุกขึ้นสู้ใหม่ได้ มุ่งมั่นที่จะไปสู่ความสำเร็จ
             เด็กแบบนี้คือเด็กที่เราทุกคนต้องการ และเมื่อเติบโตเขาก็จะเป็นผู้ใหญ่ที่มีคุณภาพ ที่จะดูแลรับผิดชอบสังคมไทยต่อไปได้
             แต่ถ้าเด็กขาดคุณลักษณะ EF ในด้านใดด้านหนึ่งหรือหลายด้าน ก็จะกระทบต่อการพัฒนาของ
เด็กคนนั้นๆ เช่น เด็กที่ขาดทักษะสมองในด้านจดจ่อใส่ใจอย่างรุนแรง ก็อาจจะเป็นเด็กสมาธิสั้น เด็กที่ขาดความยับยั้งชั่งใจ ไม่สามารถควบคุมอารมณ์ ก็อาจกลายเป็นเด็กหุนหันพลันแล่น ก้าวร้าว ขาดจิตวิญญาณ เสพติดสิ่งต่างๆง่าย เด็กที่ไม่มีทักษะวางแผนจัดการงานก็อาจจะทำงานที่ครู หรือพ่อแม่มอบหมายไม่สำเร็จ เป็นต้น
             การขาดทักษะเหล่านี้ ยังนำไปสู่การไม่เห็นคุณค่าในตนเอง แล้วเขาจะเป็นพลเมืองคุณภาพในอนาคตได้อย่างไร ?
EF พัฒนาขึ้นอย่างไรและเมื่อไร
             มนุษย์เราไม่ได้เกิดมาพร้อมกับทักษะ EF ในทันที แต่เราเกิดมาพร้อมกับ “ศักยภาพ”ที่จะพัฒนาทักษะเหล่านี้ ส่วนจะพัฒนาได้แค่ไหน อย่างไร ขึ้นอยู่กับการฝึกฝนผ่านประสบการณ์ต่างๆ ตั้งแต่ช่วงวัยทารก จนถึงวัยเด็ก และต่อไปยังวัยรุ่น
             EF ใช้เวลาพัฒนายาวนาน ตั้งแต่ขวบปีแรกจนถึงวัยผู้ใหญ่
             การวิจัยจำนวนไม่น้อยชี้ว่า EF เริ่มพัฒนาขึ้นในเวลาไม่นานหลังปฏิสนธิ โดยใช่ช่วงวัย 3-6 ปี จะเป็นหน้าต่างแห่งโอกาสที่สำคัญที่สุด มีอัตราการเติบโตของ EF สูงมาก และทักษะนี้ยังมีอัตราการพัฒนาต่อเนื่องไปจนถึงวัยเรียน วัยรุ่น และถึงวัยผู้ใหญ่ตอนต้น ซึ่งเป็นช่วงเวลาที่สมองส่วนหน้าพัฒนาเต็มที่ แต่อัตราการพัฒนาของ EF ในช่วงวัยเรียน วัยรุ่น หรือวัยผู้ใหญ่ตอนต้นจะพัฒนาไม่ได้สูงมากเท่ากับอัตราการเติมโตในช่วง 3-6 ปี และหลังจากนั้นเมื่อสมองส่วนหน้าพัฒนาเต็มที่แล้ว อัตราการเติบโตก็จะลดลงเล็กน้อย ก่อนที่จะค่อนข้างคงที่ไปจนถึงวัยสูงอายุ 
          ทักษะ EF ไม่ได้เกิดขึ้นเองตามธรรมชาติ เป็นสิ่งที่ต้องฝึกฝนต่อเนื่องเป็นขั้นตอน เรียนรู้ผ่านประสบการณืจริงที่หลากหลาย
             ในช่วงวัย 3-6 ปี ถ้าเด็กไม่ได้รับการฝึกฝนที่ควรได้ ขาดสัมพันธภาพที่ดีกับผู้ใหญ่ อยู่ในสภาพแวดล้อมที่ไม่เอื้ออำนวย หรือไม่มีโอกาสที่ได้เรียนรู้จากประสบการณ์จริงที่หลากหลาย เช่น ถูกเร่งเรียนเขียนอ่านจนไม่ได้ทำกิจกรรมอื่นใด หรือสภาพแวดล้อมกลับกลายเป็นตัวสร้างปัญหา เป็นพิษต่อเด็ก เช่น มีการละเลย ละเมิด หรือใช้ความรุนแรง หารพัฒนาทักษะ EF ของเด็กคนนั้นก็อาจจะช้าหรือบกพร่องเสียหายไป กระทบต่อโครงสร้างการทำงานของสมอง และการพัฒนา EF ในสมองต่อไปด้วย
             ช่วงเวลา 3-6 ปีนี้จึงมีความสำคัญมากในการฝึกฝนทักษะด้าน EF กล่าวได้ว่า ช่วงเวลานี้เป็นช่วงเวลาของการสร้างทรัพยากรมนุษย์ที่มีคุณค่ายิ่งต่อสังคม เป็นการลงทุนที่คุ้มค่ามากกว่าการตามแก้ไขปัญหาในภายหลัง
             อย่างไรก็ตาม ด้วยคุณสมบัติของสมองที่มีความยืดหยุ่น (Plasticity) ดังนั้นในวัยเรียนวัยรุ่นเข้าวัยผู้ใหญ่ตอนต้น ก็ยังเป็นวัยที่สามารถหากลวิธีมาส่งเสริมพัฒนาทักษะสมอง EF ได้ในระดับหนึ่ง
ถ้า EF อ่อนแอ….เมื่อโตขึ้นจะเป็นอย่างไร
             เด็กที่ไม่ได้รับการส่งเสริม EF จะส่งผลทั้งใน วงกว้าง” และ ระยะยาว
             “วงกว้าง” คือกระทบในหลายด้าน เช่นด้านร่างกาย เด็กที่ยั้งกินไม่อาจอาจโตขึ้นเป็นโรคอ้วน เบาหวาน ไขมันสูง ด้านจิตใจอาจเป็นคนที่ควบคุมอารมณ์ไม่อยู่ ด้านสังคมอาจร่วมงานกับคนอื่นได้ยาก ทำงานไม่สัมฤทธิ์ผล หรือด้านสติปัญญาก็อาจความสามารถในการคิดวิเคราะห์แก้ปัญหา เป็นต้น ส่วนผลกระทบใน ระยะยาว” นั้น ก็คือผลเสียจะเกิดขึ้นทั้งในวัยเด็ก ต่อเนื่องใบจนถึงวัยเรียน วัยรุ่น วัยผู้ใหญ่หรือแม้แต่วัยกลางคน หรือสูงอายุได้ ลักษณะของบุคลิกภาพเมื่อ EF อ่อนแอ เช่น
• กำกับควบคุมตนเองไม่ได้                                                                                             
 ขาดวิจารณญาณ ยับยั้งชั่งใจไม่ได้ เสพติด” สิ่งต่างๆได้ง่าย                                                    
• ขาดความสามารถในการคิด                                                                                          
 ไม่สามารถจัดการกับความเครียด อารมณ์                                                                         
 ขาดความสามารถในการจัดระบบและจัดการสิ่งต่างๆอย่างเหมาะสม                                          
 ขาดการวางแผนโครงการในระยะยาว                                                                              
 ไม่สามารถจัดการกับเวลา                                                                                            
 ขาดความมุ่งมั่นทำงานให้เสร็จ โดยเฉพาะงานที่ใช้เวลายาวนาน                                                
 ขาดการริเริ่มและลงมือทำงานให้เสร็จ
             พื้นฐานได้ที่สำคัญที่สุดคือ  การสร้างความผูกพันและไว้วางใจที่เกิดขึ้นในใจเด็ก เพราะถ้าเด็กไว้วางใจได้ว่า เขาจะปลอดภัยในความดูแลของผู้ใหญ่คนนี้ ไม่ว่าจะเป็นพ่อแม่ผู้ปกครองหรือครู จะทำให้เขามีสภาวะที่พร้อมต่อการพัฒนา EF และฝึกฝนเรียนรู้เมื่อใดที่เด็กมีความเครียดไม่มีความสุข ทักษะสมอง EF   จะไม่แข็งแรง
             แนวทางถัดไปคือ การดูแลสุขภาพทางกายภาพของสมอง การกินอิ่ม นอนหลับเพียงพอ การได้ออกกำลังกายสม่ำเสมอ การได้รับอากาศบริสุทธิ์ล้วนมีส่วนในการสร้างความแข็งแกร่งทางกายภาพให้สมอง เพื่อเป็นพื้นฐานที่ดี ในการทำงานของความคิดความรู้ หรือการกระทำของเด็กต่อไป  มีงานวิจัยชัดเจนว่าเด็กที่นอนไม่เพียงพอ  EF จะอ่อนแอ เด็กที่ได้ออกกำลังกายกลางแจ้งสม่ำเสมอจะมี  EF  ในด้านการจดจ่อใส่ใจดีขึ้นเป็นต้น
             การสร้างสภาพแวดล้อมที่เหมาะสม  ได้แก่ความเป็นระเบียบเรียบร้อยและน่าอยู่ของสถานที่ทั้งที่บ้านและโรงเรียน  บรรยากาศที่ร่มเย็นให้ความสุข ขณะเดียวกันเป็นสภาพแวดล้อมที่กระตุ้นให้สนใจใคร่รู้ รวมถึงการมีกิจวัตรประจำวันที่สม่ำเสมอ ถ้ามีกติกาที่เด็กมีส่วนร่วมและปฏิบัติ เสมอต้นเสมอปลาย  เหล่านี้ล้วนส่งเสริม  EF ทั้งสิ้น
             และที่สำคัญคือ การได้รับประสบการณ์การเรียนรู้ที่หลากหลาย โดยเฉพาะเน้นที่ได้ลงมือกระทำด้วยตนเอง การเข้าไปมีประสบการณ์ตรงกับสิ่งรอบตัว จะทำให้เด็กมีโอกาสได้ฝึกจิตด้วยตนเองฝึกสังเกตได้คิดค้นวางแผนและทดลองหรือลงมือทำระหว่างทำก็ได้เห็นอุปสรรคปัญหาและหาทางแก้ไขสรุปบทเรียนด้วยตนเอง
“ให้โอกาส”เด็กคือคำสำคัญ
             ไม่ว่าในวัยใดๆ “การให้โอกาส” แก่เด็กในการพัฒนาฝึกฝนทักษะ EF  คือ คือเรื่องสำคัญนักวิชา การศึกษาปฐมวัยที่ร่วมจัดการความรู้กับสถาบัน  RLG (Rakluke Learning Group ) ได้สรุปเป็นแนวปฏิบัติไว้ดังนี้
ให้โอกาสเด็กๆ
1.ดูเรียนรู้ประสบการณ์จริง
2.ได้ฝึกคิดคิดวิเคราะห์
3.ได้ดูเกิดแรงบันดาลใจ
4.ได้คิดหลากหลาย
5.ได้ลองผิดลองถูก
6.ได้ทำงานเป็นกลุ่ม -  เดี่ยว
7.มีวินัยอย่างมีส่วนร่วม
8.ได้ลงมือทำ
9.ได้มีกำลังใจ
10.ฝึกการวางแผน
11.ได้ช่วยเหลือผู้อื่น
12.ได้ตัดสินใจด้วยตนเอง
13.ได้พึ่งตนเอง
14.ได้คิดอิสระ
             พ่อแม่หรือผู้ใหญ่ในครอบครัว ครูในโรงเรียนทุกระดับ โดยเฉพาะครูอนุบาลที่ดูแลเด็กวัย 3-6 ปีมีความสำคัญมากมายต่อ “การให้โอกาส” พัฒนาทักษะ EF  ให้แก่เด็กโดยสามารถฝึกฝนคุณลักษณะทั้ง 9 ด้านนี้ได้ในชีวิตประจำวันหรือในการจัดหลักสูตรการเรียนรู้ของเด็ก เช่น สร้างวินัยในชีวิตประจำวันให้รู้จักรอ เข้าคิว ให้รู้จักควบคุมอารมณ์ตนเองอย่างเหมาะสมเพื่อเข้าใจความรู้สึกของตนเองและคนอื่น
             มีกิจกรรมที่ได้ลงมือทำ  Learning  by  doing  การวางเป้าหมาย การจัดลำดับก่อนหลังการอดทนถ้าเคียนการสังเกตเรียนรู้ขั้นตอนการทำงานเช่นช่วยทำงานบ้านตามที่วัยของเขาทำได้
             ได้มีโอกาสไปเผชิญกับสิ่งแวดล้อมใหม่ๆ พบคนใหม่ๆเพื่อนใหม่ๆได้แก้ปัญหาต่างๆด้วยตนเองรวมทั้งเมื่อเสร็จแล้วมีโอกาสเกิดการประเมินตนอย่างง่ายๆว่าดีหรือไม่ดีอย่างไรและมีการให้กำลังใจเมื่อเด็กทำสำเร็จ
             หลักสูตรการจัดการศึกษาในโรงเรียนของประเทศเราก็จะต้องเปลี่ยนแปลง ไม่ใช่เน้นบังคับกะเกณฑ์ให้เร่งเรียนคัดเขียน  ถ้าฉันเป็นนกแก้วนกขุนทองเพื่อเอาคะแนนสอบ โดยไม่ได้สัมผัสประสบการณ์การเรียนรู้จากชีวิตจริงเลย
             พูดได้ว่าการให้โอกาสเด็กได้เรียนรู้แบบ Active Learning จะช่วยส่งเสริม EF ตลอดทั้งสิ้นในทางตรงกันข้ามการเรียนการสอนแบบ   Sassive Learning  ก็จะทำลายสมองเด็กอย่างน่าเสียดายที่สุด

EF เกี่ยวข้องกับการการเสพติดต่างๆ อย่างไร
             จากการรวบรวมผลการวิจัยจากต่างประเทศ  รศ.ศร. นวลจันทร์  จุฑาภัคดีกุล  ผู้เชี่ยวชาญด้าน  Executive  Functions  จากศูนย์วิจัยประสารทวิทยาศาสตร์  สถาบันชีววิทยาศาสตร์โมเลกุลมหาวิทยาลัยมหิดล  พบว่า
- ความบกพร่องของ EF เป็นสาเหตุของการติดสารเสพติด
- การศึกษาจากภาพถ่ายสมองและอาการทางคลินิก  แสดงให้เห็นว่ามีความบกพร่องในการทำงานของสมองส่วนหน้าในผู้ที่ติดยาเสพติด
- ความบกพร่องในการทำงานของสมองส่วนหน้าทำให้ไม่สามารถยับยั้งความคิดและการกระทำ  (Inhibition) ซึ่งเกี่ยวข้องกับทุกขั้นตอนของการติดยาเสพติด  ตั้งที่ให้เข้าไปอยู่ในสถานการณ์ที่เสี่ยง  ทดลองใช้ยา  ใช้ซ้ำจนติด  รวมทั้งการกลับไปใช้ใหม่
             รศ.ดร.  นวลจันทร์  จุฑาภัคดีกุล  คิดว่าสมองส่วนหน้า Perfrontal Cortex ทำหน้าที่ยับยั้งการเข้าหายาเสพติดโดยควบคุมการคิดและการกระทำ  Cognitive Control  ยังไม่ให้ตอบสนองออกไปตามความต้องการรู้จักคิดว่าสิ่งไหนไม่ดีอยากยังไม่ให้ทำในสิ่งที่ไม่ดีการส่งเสริมให้เด็กมีทักษะ EF ที่ดีตามวัยช่วยลดปัญหาพฤติกรรมลดความขัดแย้งในครอบครัว ปัญหาการเรียน ปัญหาสังคม เช่น พฤติกรรมก้าวร้าวรุนแรง ติดการพนัน ติดยาเสพติด ช่วยพัฒนาประเทศของเราอย่างยั่งยืน จะเห็นว่าสมองส่วนหน้ามีศักยภาพที่จะช่วยให้มนุษย์ทุกคนจัดการชีวิตของตนได้ การส่งเสริมให้เด็กมีทักษะ EF ที่ดีตามวัย ไม่เพียงแต่เป็นการป้องกันในเรื่องยาเสพติดที่เป็นปัญหาใหญ่ระดับชาติที่ประเทศเรากำลังเผชิญอยู่เท่านั้น หากยังป้องกันปัญหาพฤติกรรมอื่นๆ ทั้งหลายอันเกิดจากความไม่สามารถยับยั้งกับใจตนเองได้ เช่น การติดเกม การติดเพื่อน การเสพติดการบริโภค

EF กับ IQ,EQ
             คำถามที่พ่อแม่และครูจำนวนมากให้ความสนใจเป็นอย่างมากคือ EF กับ IG หรือ EQ เกี่ยวข้องกันอย่างไร
EF สัมพันธ์กับความพร้อมทางการเรียนของเด็ก
มากกว่า IQ การอ่านและการคำนวณ
EF สำคัญต่อความสำเร็จด้านการเรียนโดยเฉพาะการอ่านและการคำนวณ
ผลการเรียนทุกระดับจนถึงมหาวิทยาลัย”
             มีนักวิทยาศาสตร์อธิบายเรื่องนี้ไว้ว่า  “คนมักคิดว่าการที่มีปัญญาดีมักจะมี EF ดีโดยปริยายแล้วการที่เรามักจะคาดหวังว่าเด็กที่เรียนดีจะมีนิสัยการทำงานที่ดีจัดการกับการทำงานทั้งที่บ้านและที่โรงเรียนได้ดีแต่ในความเป็นจริง IQ กับ EF ไปด้วยกันได้ในบางระดับเท่านั้นเด็กที่มีปัญญาเลิศอาจจะยับยั้งแรงกระตุ้นไม่ค่อยได้วางแผนหรือจัดการชีวิตประจำวันได้ไม่ดีมีปัญหาวิเคราะห์และการเข้าใจการทำงานไม่ได้หมายความว่าเด็กจะลงมือทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพและมุ่งมั่นทำจนสำเร็จ”
             นอกจากนี้ยังมีนักวิจัยที่ชี้ว่า  “การทดสอบไอคิวแบบดั้งเดิมนั้นเป็นการวัดสิ่งที่เรียกว่าความสามารถทางสติปัญญาที่ตกผลึกแล้วเป็นการเรียกข้อมูลในสิ่งที่เรียนไปแล้วเรียบร้อยเช่นคำนี้หมายความว่าอย่างไรเมืองหลวงของประเทศนี้ชื่ออะไรแต่ EF คือความสามารถในการใช้สิ่งที่เรารู้อยู่แล้วนำมาสร้างสรรค์ใหม่หรือนำมาแก้ปัญหาในปัจจุบันซึ่งจะเกี่ยวข้องกับความสามารถทางปัญญาที่เดือนไหลมีหลักฐานมากขึ้นเรื่อยๆที่ชี้ชัดว่าความจำที่ใช้งาน (Working Memory) กับการคิดไตร่ตรอง (Inhibition) เป็นสิ่งที่บอกถึงความสำเร็จของเด็กหลังจากจบจากโรงเรียนแล้วได้ดียิ่งกว่าการทดสอบไอคิว”
Executive Functioning กับ Self – Regulation เป็นเครื่องมือทำนาย
ที่แข็งแรงมากถึงความสำเร็จในการเรียน แข็งแรงยิ่งกว่า IQ เสียอีก”

 ประเทศไทยรอไม่ได้แล้ว
             หลายทศวรรษที่ผ่านมาจัดการศึกษาในประเทศไทยเราให้ความสนใจกับการเรียนรู้แบบ Passive Learning การสอบเข้า และการกวดวิชา อย่างเอาเป็นเอาตาย เด็กไทยหลายต่อหลายรุ่นได้ขาดโอกาสพัฒนาทักษะทางสมอง EF ไปอย่างน่าเสียดายหากถูกใช้ไปใน ด้านเดียวคือการท่องจำเพื่อใช้ในการสอบ “จดแล้วท่อง ท่องแล้วจำ จำแล้วสอบ สอบแล้วลืม” แล้วผลลัพธ์ที่เกิดขึ้นก็ได้ประจักษ์แก่สายตาของผู้ใหญ่เราทุกคนนั่นคือเด็กไทยวัยต่างๆถึงเกือบ 1 ใน 3 ตกอยู่ในภาวะเสี่ยงนับตั้งแต่การเสพติด การมีเพศสัมพันธุ์ในวัยที่น้อยลงเรื่อยๆ ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนที่ตกต่ำลงเรื่อยๆ ไม่ว่าจะวัดผลในประเทศหรือวัดผลนานาชาติ การขาดทักษะความสามารถในการทำงาน เมื่อเรียนจบ
ถึงวันนี้เมื่อเราเข้าใจกระบวนการทำงานของสมองมนุษย์ชัดเจนยิ่งขึ้นรู้จัก EF ก็เท่ากับมีแสงสว่างที่ปลายอุโมงค์เพื่อให้เรารวมการแก้ไขปัญหา
สุดท้ายก็อยู่ที่ผู้ใหญ่เราทุกคนว่าจะเดินไปในทิศทางของแสงสว่างนั้นหรือจะจนอยู่กลับเส้นทางเดิมที่ล้มเหลวและทำลาย
“เด็กๆไม่อาจรอได้ประเทศไทยก็รอไม่ได้เช่นกัน”

การนำไปประยุกต์ใช้

       ทักษะEF ถือเป็นทักษะที่มาความจำเป็นในการดำเนินชีวิต เพราะหากเราคิดเป็น วางแผนเป็นก็จะส่งผลให้เกิดความสุขในการดำเนินชีวิต รู้จักการทำงานอย่างเป็นระบบและเกิดการพัฒนาศักยภาพตนเองให้ดียิ่งขึ้น

การประเมินผล

       ตนเอง : มีส่วนร่วมในการระดมความคิดภายในกลุ่ม มีการแบ่งหน้าที่ในการศึกษาค้นคว้า

       เพื่อน : ทุกคนมีส่วนร่วมกับกิจกรรมของกลุ่มตนเองและกิจกรรมในชั้นเรียน



       อาจารย์ : ใช้เทคนิคการสอนโดยให้นักศึกษาระดมความคิดเป็นกลุ่ม แลกเปลี่ยนเรียนรู้กัน ร่วมกันวิเคราะห์และสังเคราะห์ข้อมูล

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น